EPR คืออะไร ? ศึกษาแนวทางลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่ความยั่งยืน

เมื่อทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาขยะและมลพิษ การจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน นโยบาย Extended Producer Responsibility (EPR) คือหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความสนใจและนำมาปรับใช้ทั่วโลก โดยส่งเสริมให้ผู้ผลิตรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ของตนเองตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการจัดการเมื่อสินค้าหมดอายุการใช้งาน

EPR คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ ?

EPR หรือ Extended Producer Responsibility คือกลยุทธ์ที่เพิ่มต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์เข้าไปในราคาตลาดของผลิตภัณฑ์นั้น ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการนำมาใช้ในด้านการจัดการขยะเป็นหลัก โดยแนวคิด EPR มีหลักการพื้นฐานคือ การทำให้ผู้ผลิตและแบรนด์ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาสร้างขึ้นตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ตั้งแต่การสกัดทรัพยากร การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการจัดการเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน

วัตถุประสงค์ของแผนการดำเนินงาน EPR

  • ลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีส่วนประกอบที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองในธรรมชาติ เช่น พลาสติก โลหะหนัก ซึ่งอาจกลายเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายหากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม
  • ส่งเสริมการรีไซเคิล กระตุ้นให้มีการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่เข้าสู่กระบวนการผลิต ช่วยเพิ่มอัตราการนำวัสดุในขยะมาใช้ซ้ำ เช่น โลหะที่มีค่าจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หรือวัสดุพลาสติกที่ใช้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ส่งผลดีทั้งในแง่ของการลดขยะและการอนุรักษ์ทรัพยากร
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ป้องกันไม่ให้สารอันตรายจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ปนเปื้อนสู่ดินและแหล่งน้ำ
  • สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ

EPR กับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย

ในประเทศไทย ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) กำลังเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของเทคโนโลยีและการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขยะประเภทนี้มีส่วนประกอบของสารเคมีและโลหะหนักที่เป็นอันตราย หากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ประเทศไทยได้พัฒนากฎหมายและนโยบายความรับผิดชอบเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้าต้องมีส่วนรับผิดชอบในการจัดการ E-waste ตามหลักการ EPR ทั้งนี้เพื่อให้ระบบการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์มีความครบถ้วนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

องค์ประกอบหลักของ ERP

  • ความรับผิดชอบทางการเงิน ผู้ผลิตต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ซึ่งรวมถึงการเก็บรวบรวม การคัดแยก การขนส่ง และการรีไซเคิลหรือกำจัดอย่างปลอดภัย
  • ความรับผิดชอบในการดำเนินงาน ผู้ผลิตต้องมีส่วนร่วมในการจัดการขยะจริง เช่น การรับคืนผลิตภัณฑ์ การจัดตั้งระบบเก็บรวบรวม การรีไซเคิล หรือการติดต่อกับองค์กรผู้รับผิดชอบด้านการจัดการขยะ
  • การส่งเสริมการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้ผู้ผลิตออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีอันตราย
  • การสร้างตลาดสำหรับวัสดุรีไซเคิล เพิ่มความต้องการวัสดุรีไซเคิลในการผลิตใหม่ สร้างโอกาสทางธุรกิจในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
การกำจัดและทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทาง EPR

การขายขยะอิเล็กทรอนิกส์รีไซเคิลตามแผนพัฒนา EPR

หลังจากเกิดความตระหนักรู้ทั่วโลก ประเทศไทยได้ออกแผนการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2562-2573 และแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) รวมถึงแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) ที่ส่งเสริมมาตรการ เช่น การออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจและหลักการ EPR โดยผู้ผลิตต้องจัดตั้งระบบเก็บคืนและรีไซเคิล หรือร่วมมือกับองค์กรที่มีหน้าที่ในการรับจัดการขยะอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เช่น การมอบให้บริษัทที่มีบริการรับซื้อและทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อจัดการอุปกรณ์เก่าอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นไปตามหลักการ EPR เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง

สรุปได้ว่า EPR หรือ Extended Producer Responsibility คือแนวทางที่ทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้องรับผิดชอบตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสารอันตราย รวมถึงส่งเสริมการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ผ่านการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคและองค์กรในการส่งต่ออุปกรณ์เก่า หรือทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้รับผิดชอบที่ได้รับอนุญาต อย่าง HRT Recycling ซึ่งจะช่วยให้ขยะเหล่านี้ถูกกำจัดอย่างปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกฎ EPR ด้วยประสบการณ์ในการรีไซเคิลมากกว่า 3,000 ตัน และการดำเนินงานที่โปร่งใสตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้จากวัสดุเหลือใช้ที่ยังคงมีมูลค่า ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับสภาพและตลาดปัจจุบัน

ทีมงานของ HRT Recycling พร้อมให้บริการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึงสำนักงานของคุณ หรือสามารถส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่เราได้โดยตรง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง

  1. EPR กับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 จาก https://www.onep.go.th/epr-กับการแก้ปัญหาสิ่งแวด/
  2. รู้ทันร่างกฎหมาย EPR ที่ผู้ผลิตต้องเตรียมพร้อมก่อนบังคับ ใช้ในไทย. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 จาก https://www.thailand.go.th/issue-focus-detail/001_04_024?hl=th

6 ขั้นตอนของกระบวนการรีไซเคิล E-Waste มีอะไรบ้าง ?

จากรายงาน The Global E-waste Monitor 2024 ขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่ากังวล โดยในปี 2022 ทั่วโลกผลิต E-Waste รวมกันถึง 62 ล้านตัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 82 ล้านตันในปี 2030 ซึ่งเป็นตัวเลขที่รวดเร็วกว่าการรีไซเคิลที่ทำได้จริงถึง 5 เท่า ดังนั้น นี่จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะขยะอิเล็กทรอนิกส์สามารถก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ ด้วยเหตุนี้หลายประเทศจึงเริ่มออกกฎหมายควบคุมและพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการ E-Waste ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกระบวนการรีไซเคิลที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) บทความนี้จึงจะพาไปรู้จักกับ “กระบวนการรีไซเคิล E-Waste” ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ว่าแท้จริงแล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์เดินทางอย่างไรบ้างกว่าจะกลับมาเป็นทรัพยากรที่ใช้ได้อีกครั้ง

กระบวนการรีไซเคิล E-Waste เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวม

ทำไมการรีไซเคิล E-Waste จึงสำคัญ ?

  • E-Waste หากกำจัดผิดวิธี เช่น ฝังกลบหรือเผา จะปล่อยสารเคมีอันตราย
    ไม่ว่าจะเป็นตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาวทั้งสิ้น
  • การรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    การนำ E-Waste เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอุปกรณ์ไอทีที่ถูกวิธี จะช่วยป้องกันไม่ให้สารพิษรั่วไหลลงสู่ดิน น้ำ และอากาศ ลดการปนเปื้อนและรักษาระบบนิเวศให้ปลอดภัยมากขึ้น
  • E-Waste เป็นแหล่งโลหะมีค่าที่สามารถสกัดกลับมาใช้ใหม่ได้
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากมีส่วนประกอบของโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน และทองแดง การรีไซเคิลจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการคืนทรัพยากรเหล่านี้กลับสู่ระบบการผลิต
  • การรีไซเคิลอย่างถูกต้องสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
    นอกจากช่วยลดต้นทุนการผลิตใหม่แล้ว โลหะที่สกัดได้จาก E-Waste ยังสามารถนำไปขายต่อได้ในราคาดี เป็นการสร้างรายได้เสริมทั้งในระดับบุคคลและองค์กรอย่างยั่งยืน

E-Waste ไปสู่โรงงานรีไซเคิลได้อย่างไรบ้าง ?

  1. จุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์
    เช่น จุดรับคืนโทรศัพท์มือถือในศูนย์การค้า จุดรับขยะ IT ขององค์กร หรือจุด Drop-off ตามแคมเปญสิ่งแวดล้อม
  2. ระบบเรียกคืนจากผู้ผลิต (Take-Back System)
    บริษัทผู้ผลิตหลายรายมีบริการรับคืนผลิตภัณฑ์เมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อส่งต่อสู่ระบบรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน
  3. บริษัทขนส่งและรีไซเคิลเฉพาะทาง
    อย่างเช่น HRT Recycling ที่ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่รับขยะจากสำนักงาน คัดแยก จนถึงขั้นตอนกระบวนการรีไซเคิล E-Waste ตามระบบที่ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย

กระบวนการรีไซเคิล E-Waste 6 ขั้นตอน

เมื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่โรงงานรีไซเคิลต้องผ่านกระบวนการรีไซเคิล E-Waste ที่มีความละเอียดสูง โดยสามารถได้แบ่งเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้

1. Shredding – ฉีกหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งเข้ามาจะถูกป้อนเข้าสู่เครื่อง Shredder เพื่อทำการฉีกและหั่นชิ้นส่วนให้มีขนาดเล็กลง ช่วยให้สามารถแยกวัสดุต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นในขั้นตอนถัดไป เช่น โลหะ พลาสติก และแผงวงจร ช่วยลดความซับซ้อนของโครงสร้างอุปกรณ์

เครื่อง Shredder คือส่วนสำคัญของกระบวนการรีไซเคิล E-Waste

2. Crushing – บดหยาบให้พร้อมแยก

หลังจากผ่านการฉีก ชิ้นส่วนจะถูกส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล E-Waste ขั้นต่อไป ซึ่งคือการบดหยาบ โดยใช้เครื่อง Crusher เพื่อทำให้วัสดุแตกตัวเป็นชิ้นเล็กระดับเซนติเมตร การบดหยาบช่วยให้สามารถแยกวัสดุชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. Grinding – บดละเอียดจนแยกระดับไมครอน

กระบวนการรีไซเคิล E-Waste ขั้นตอนนี้จะใช้เครื่อง Grinder ที่สามารถบดวัสดุให้มีความละเอียดสูงถึงระดับไมครอน เหมาะสำหรับการเตรียมเข้าสู่กระบวนการแยกขั้นสูงอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อต้องการสกัดโลหะมีค่าที่ฝังอยู่ในชั้นวัสดุผสม เช่น ทองคำหรือพาลาเดียมจากแผงวงจร

4. Pulse Dust Collector – กรองฝุ่นพิษก่อนลอยสู่โลก

ในระหว่างกระบวนการบดละเอียด ฝุ่นจำนวนมากจะถูกปลดปล่อย โดยอาจปนเปื้อนด้วยสารพิษหรือโลหะหนัก เครื่อง Pulse Dust Collector จึงทำหน้าที่กรองฝุ่นเหล่านี้ออกจากอากาศด้วยระบบ Jet Air ช่วยป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นพิษ และลดมลภาวะภายในโรงงาน

5. Airflow Separator – แยกวัสดุเบาและหนักด้วยลม

วัสดุที่ถูกบดละเอียดจะเข้าสู่ระบบแยกด้วยแรงลม (Airflow Separation) โดยอาศัยหลักความแตกต่างของน้ำหนักและความหนาแน่น วัสดุเบา เช่น พลาสติก จะลอยไปตามลม ขณะที่วัสดุหนักอย่างผงโลหะ จะตกลงสู่ด้านล่าง ช่วยให้สามารถแยกวัสดุต่างชนิดออกจากกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. Electrostatic Separator – แยกโลหะด้วยประจุไฟฟ้า

กระบวนการรีไซเคิล E-Waste ขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้เครื่อง Electrostatic Separator ซึ่งอาศัยสนามไฟฟ้าสถิตในการแยกวัสดุที่นำไฟฟ้า (เช่น โลหะ) ออกจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า (เช่น พลาสติกหรือเรซิน) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยสกัดโลหะมีค่าอย่างแม่นยำและคงคุณภาพสูงที่สุด

จากเศษซากสู่ทรัพยากรอนาคต

เมื่อมองผิวเผิน ขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจดูเป็นเพียงของที่ไร้ค่า แต่ในความเป็นจริงซากอุปกรณ์เหล่านี้กลับซ่อน “ทรัพยากรที่มีมูลค่าสูง” ไว้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน พาลาเดียม หรือทองแดง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกต้องการ

กระบวนการรีไซเคิล E-Waste ที่ทันสมัยในปัจจุบันจึงไม่เพียงมีเป้าหมายแค่การกำจัดของเสีย แต่ยังเป็นการ “แปรรูปขยะให้กลับมาเป็นวัตถุดิบ” ที่สามารถนำกลับเข้าสู่ระบบการผลิตได้อีกครั้ง โดยใช้พลังงานน้อยกว่าการทำเหมืองแร่แบบดั้งเดิมหลายเท่า และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างเช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพียง 1 ตัน สามารถสกัดทองคำได้มากกว่าการขุดแร่ทองจากเหมืองปกติในปริมาณเท่ากัน นี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้การรีไซเคิลอุปกรณ์ไอทีกลายเป็นกลไกหลักของแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน


การกำจัด E-Waste หรือทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีไม่เพียงแค่ปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นมูลค่าได้ เลือก HRT Recycling ผู้นำด้านการรับซื้อและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ในการรีไซเคิลมากกว่า 3,000 ตัน และการดำเนินงานที่โปร่งใสตามมาตรฐานสากล ทีมงานของ HRT Recycling พร้อมให้บริการรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึงสำนักงานของคุณ หรือสามารถส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่เราโดยตรงได้เลย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง

  • ขยะอิเล็กทรอนิกส์. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 จาก https://www.gsb.or.th/
  • Global e-Waste Monitor 2024: Electronic Waste Rising Five Times Faster than Documented E-waste Recycling . สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 จาก https://unitar.org/

ThaiESG คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับผู้ประกอบการยุคนี้ ?

ในยุคที่โลกธุรกิจไม่อาจดำเนินไปได้โดยมองข้ามประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มความยั่งยืนระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยได้กำหนดทิศทางของตนผ่านแนวทาง “Thailand ESG” และการเปิดตัวกองทุนเพื่อความยั่งยืนอย่าง ThaiESG Fund ที่นอกจากจะเปิดประตูสู่การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบแล้ว ยังสอดคล้องกับแนวคิดของ SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการที่ยังมีข้อสงสัยว่า ThaiESG คืออะไร ? บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ พร้อมการอธิบายแบบรอบด้าน

ESG คือกรอบแนวคิดที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงธุรกิจให้ดีต่อโลกในระยะยาว

ESG คืออะไร ? มากกว่าแค่ภาพลักษณ์องค์กร

ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, Governance หรือ “สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” เป็นกรอบแนวคิดที่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและปรับปรุงผลกระทบของธุรกิจที่มีต่อโลกและสังคมในระยะยาว

  • Environmental (สิ่งแวดล้อม)

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม จะมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และมองหานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อโลก เช่น การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด หรือปรับระบบการผลิตให้เป็นแบบหมุนเวียน (Circular Economy)

  • Social (สังคม)

ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชุมชน หรือคู่ค้า เช่น การให้ค่าจ้างอย่างเป็นธรรม การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน หรือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมท้องถิ่น

  • Governance (ธรรมาภิบาล)

ธรรมาภิบาลที่ดี หมายถึง การบริหารจัดการอย่างโปร่งใส มีจริยธรรม และตรวจสอบได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องทุจริต และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และสาธารณชน

ThaiESG นโยบายการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งโลกและประเทศไทย

เมื่อ ESG คือแนวคิดที่ได้รับความนิยมและนำไปใช้ทั่วโลก ประเทศไทยจึงได้สานต่อโดยการผลักดันให้เกิด ThaiESG ในฐานะกลไกการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืนและเศรษฐกิจในประเทศ

โดย ThaiESG หรือ Thailand ESG Fund คือกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนลงทุนในธุรกิจที่มีแนวทางดำเนินงานตามหลัก ESG อย่างเป็นรูปธรรม

ThaiESG ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการเงิน แต่สะท้อนให้เห็นถึง พลังร่วมของสังคม ที่กำลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่ต้องการยกระดับคุณภาพขององค์กรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก

จุดเด่นของกองทุน ThaiESG

  • สนับสนุนกิจการไทยที่มีพฤติกรรมและแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report) ที่ชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจากการนำเสนอผลประกอบการในรายงานประจำปี (แบบ 56-1) โดยมุ่งเน้นนำเสนอการดำเนินงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี
  • เป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนระยะยาวที่น่าสนใจ และเสถียร เพราะลงทุนในกิจการที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง
  • ส่งเสริมการขับเคลื่อน ESG ไม่ใช่แค่ในระดับนโยบาย แต่ลงลึกถึงระดับกิจกรรมและพฤติกรรมภายในองค์กร

สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ ThaiESG

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ ThaiESG ได้รับความสนใจ คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดึงดูดใจผู้ลงทุน ซึ่งออกแบบมาเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ โดย ThaiESG มีตัวอย่างสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน (ไม่เกิน 300,000 บาท/ปี)
  • ไม่รวมอยู่ในวงเงินกองทุนเกษียณอื่น ๆ เช่น SSF, RMF, PVD หรือประกันบำนาญ
  • ระยะเวลาการถือครองลดเหลือเพียง 5 ปีวันชนวัน สำหรับผู้ลงทุนในช่วงปี 2567-2569
  • หากถือจนครบตามเงื่อนไข กำไรจากการขายหน่วยลงทุน (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เหตุใดผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ ThaiESG ?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ThaiESG เกี่ยวข้องเฉพาะกับนักลงทุน แต่ในความจริงแล้ว ผู้ประกอบการเองคือผู้เล่นสำคัญ เพราะการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG จะช่วยให้กิจการมีคุณสมบัติที่ดีพอจะเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มบริษัทที่ ThaiESG สนับสนุน นำไปสู่ผลดีในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น

สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Citizenship)

  • การมีชื่ออยู่ในกลุ่มบริษัทที่ได้รับการพิจารณาว่า “มี ESG” ชัดเจน เท่ากับเป็นการยืนยันว่าองค์กรนี้มีบทบาทที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

เพิ่มความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ

  • องค์กรที่มีการจัดการ ESG อย่างจริงจังมักเป็นที่ต้องการของทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ อีกทั้งยังสามารถเป็นจุดขายที่แข็งแรงเมื่อต้องร่วมทุนหรือทำธุรกรรมกับพันธมิตรทางธุรกิจ

ส่งเสริมธรรมาภิบาลและลดความเสี่ยงในระยะยาว

  • ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือกฎหมาย การวางระบบ ESG คือกรอบที่จะช่วยให้ผู้บริหารมีเครื่องมือในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแก้ไขได้ทันท่วงที

สอดรับกับทิศทางประเทศไทยและเป้าหมาย SDGs

  • การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบาย ThaiESG เท่ากับว่าองค์กรมีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความยั่งยืนร่วมกับรัฐบาล เพื่อให้ประเทศไทยเข้าใกล้เป้าหมายของ SDGs ตามที่ให้พันธะสัญญากับสหประชาชาติร่วมกับ 193 ประเทศสมาชิก ตั้งแต่เมื่อปี 2015 ซึ่งต้องบรรลุเป้าหมายภายในปี 2030

พนักงานกำลังประชุมกันเรื่องการจัดทำรายงานความยั่งยืน

จะเริ่มต้นอย่างไรในฐานะผู้ประกอบการ ?

สำหรับองค์กรที่อยากยกระดับตัวเองให้เข้าเกณฑ์ ESG และมีส่วนร่วมกับกลไกของ ThaiESG นี่คือจุดเริ่มต้นที่สามารถนำไปปรับใช้ได้
1. จัดทำรายงาน ESG หรือ Sustainability Report
รายงานความยั่งยืนเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมการดำเนินงานในมิติ ESG พร้อมเผยแพร่ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
2. เลือก Framework ที่เหมาะสม
เช่น GRI (Global Reporting Initiative), TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) หรือ SASB ซึ่งจะช่วยให้การรายงานมีมาตรฐานสากล
3. สื่อสารอย่างโปร่งใส
ความสม่ำเสมอในการอัปเดตข้อมูล ESG ผ่านเว็บไซต์ รายงานประจำปี หรือช่องทางอื่น ๆ คือสิ่งสำคัญที่จะสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

เชื่อว่าบทความนี้น่าจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่า ThaiESG คืออะไร อย่างกระจ่าง อย่างไรก็ดี การลงทุนใน ThaiESG ไม่ใช่ทางเดียวที่ธุรกิจของคุณจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน การทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีก็เป็นอีกก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับหลักการ ESG โดยเฉพาะมิติด้านสิ่งแวดล้อม HRT Recycling ผู้นำด้านการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย พร้อมเป็นพันธมิตรที่ช่วยองค์กรของคุณจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยประสบการณ์การรีไซเคิลมากกว่า 3,000 ตัน และการดำเนินงานที่โปร่งใสภายใต้ใบอนุญาตที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทีมงานของ HRT Recycling พร้อมให้บริการรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึงสำนักงานของคุณ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง
1.Thai ESG. สืบค้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 จาก https://thailandesg.com/

ทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไหนให้ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทิ้งมือถือเก่าที่ไหนให้ปลอดภัย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ในปัจจุบัน “โทรศัพท์มือถือ” กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มือถือเหล่านี้อาจเสื่อมสภาพ หรือถูกแทนที่ด้วยรุ่นใหม่ หลายคนจึงเกิดคำถามว่าควรจัดการกับมือถือเก่าอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลที่อาจตกไปอยู่ในมือของบุคคลอื่น และต้องทิ้งมือถือเก่าที่ไหนเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ?

วิธีการจัดการกับมือถือเก่า

แม้หลายคนอาจมองว่าการจัดการกับมือถือเก่าคือแค่โยนทิ้งไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทิ้งโทรศัพท์มือถือโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง อาจสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงทั้งต่อข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมโดยรวม เนื่องจากโทรศัพท์มือถือมีส่วนประกอบของวัสดุที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และลิเธียม ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ในธรรมชาติ การจัดการอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญ ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ดังนี้

1. บริจาค หรือขายต่อ

หากโทรศัพท์ยังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ การนำส่งต่อไปให้ผู้อื่นจะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่อุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

  • บริจาคเพื่อการศึกษาและสังคม ให้แก่เด็กด้อยโอกาส ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น โรงเรียน บ้านเด็กกำพร้า หรือมูลนิธิที่รับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสอง ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้รับและต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม
  • ขายต่อมือสอง โดยปัจจุบันมีตลาดสมาร์ตโฟนมือสองที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถนำอุปกรณ์ของตนไปขายต่อได้ง่าย เช่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ร้านซ่อมมือถือ หรือร้านค้ารับซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสองโดยเฉพาะ

2. รีไซเคิลอย่างถูกวิธี

สำหรับมือถือที่ชำรุด ใช้งานไม่ได้ หรือหมดอายุการใช้งานแล้ว การรีไซเคิลถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากข้อมูลที่อาจตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น โดยการนำมือถือเก่าไปยังจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการรับรอง หรือใช้บริการของบริษัทที่มีใบอนุญาตในการจัดการ E-waste โดยเฉพาะ คือทางเลือกที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณจะได้รับการจัดการอย่างปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ข้อควรระวังในการทิ้งมือถือเก่า

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ต้องใช้การจัดการที่พิเศษกว่าการทิ้งขยะทั่วไป โดยมีข้อควรระวังที่สำคัญ ได้แก่

  • ไม่ควรทิ้งปนกับขยะทั่วไป เนื่องจากมีสารพิษที่สามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้
  • ไม่ควรเผา ฝังดิน หรือทิ้งลงท่อระบายน้ำ เพราะจะปล่อยสารเคมีอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม ลงสู่แหล่งธรรมชาติ
  • ไม่ควรแกะ หรือแยกชิ้นส่วนเองโดยไม่มีความรู้ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ธรรมดา แต่ยังมีระบบวงจร แบตเตอรี่ รวมถึงสารเคมีที่หากจัดการไม่ถูกวิธีอาจเกิดอันตรายได้ทันที

ทิ้งมือถือเก่าที่ไหน ? แชร์จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ในกรุงเทพมหานคร

สำหรับใครที่สงสัยว่าจะสามารถทิ้งมือถือเก่าที่ไหนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปัจจุบันหน่วยงานกรุงเทพมหานครมีการจัดตั้งจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวก ได้แก่

จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ในกรุงเทพมหานคร

1. สำนักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต

กรุงเทพมหานครมีการกำหนดจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ในทุกสำนักงานเขตทั้ง 50 เขตทั่วกรุง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเขตใดก็สามารถนำโทรศัพท์มือถือเก่า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มาทิ้งได้ที่จุดรับขยะในเขตของตนเอง

2. ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้าและดินแดง)

สถานที่ราชการใจกลางเมืองทั้ง 2 แห่งนี้เปิดเป็นจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้นให้ประชาชนทั่วไปนำอุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งานมาทิ้งได้อย่างเป็นระบบ

3. อาคารคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศูนย์การค้าสุพรีม

สองจุดนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐที่ส่งเสริมแนวคิด “ขยะคืนโลก” โดยเปิดพื้นที่สำหรับรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่า 
  • คณะสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ เปิดรับอุปกรณ์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลตามมาตรฐาน
  • ศูนย์การค้าสุพรีม (สามเสน) มีจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดเป็นกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

4. บริการไปรษณีย์

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไปทิ้งของด้วยตนเอง สามารถใช้บริการส่งมือถือเก่าทางไปรษณีย์ได้ฟรี ภายใต้โครงการ “ไปรษณีย์ไทยรักษ์โลก” ได้ โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
  • ใส่มือถือเก่าลงในกล่อง หรือซองที่ปิดสนิท
  • เขียนหน้าซองว่า “ฝากทิ้ง ขยะอิเล็กทรอนิกส์”
  • ฝากทิ้งกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ที่มานำจ่ายจดหมายตามบ้านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

เมื่อส่งแล้ว โทรศัพท์จะถูกส่งไปยังหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยก ทำลาย และรีไซเคิลอย่างปลอดภัย

เตรียมให้พร้อม ! ก่อนทิ้งมือถือเก่า

ก่อนทิ้ง หรือส่งมือถือเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล อย่าลืมเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัว  โดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้
  • สำรองข้อมูลสำคัญ คัดลอกไฟล์ รูปภาพ รวมถึงรายชื่อสำคัญไปยังอุปกรณ์อื่น หรืออัปโหลดข้อมูลขึ้น Cloud Storage เช่น Google Drive, iCloud หรือ OneDrive
  • ออกจากบัญชีทั้งหมด เพื่อป้องกันผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลหลังจากมือถือถูกส่งต่อไปยังมือที่สอง หรือแม้แต่ในขั้นตอนการรีไซเคิล ควรตรวจสอบและออกจากระบบบัญชีส่วนตัวทุกบัญชีที่ผูกกับมือถือ เช่น iCloud, Google Account, แอปธนาคาร
  • ลบข้อมูลทั้งหมดในเครื่อง หลังจากออกจากบัญชีแล้ว ควรล้างข้อมูลในเครื่องให้หมด โดยจะเป็นการลบแอป ข้อมูล รวมถึงการตั้งค่าทั้งหมดให้กลับมาอยู่ในสภาพเหมือนตอนซื้อเครื่องใหม่
  • ถอดซิมการ์ด ออกจากตัวเครื่องก่อนทิ้ง เพราะอุปกรณ์เหล่านี้อาจยังมีข้อมูลส่วนตัวหลงเหลืออยู่
  • ทำลายหน้าจอ หรือตัวเครื่อง โดยใช้การทำลายทางกายภาพ เช่น การทุบหน้าจอหรือชิปประมวลผล แต่ควรทำเฉพาะกรณีที่แน่ใจว่าไม่สามารถลบข้อมูลได้ด้วยวิธีอื่นเท่านั้น

การจัดการกับมือถือเก่าอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันข้อมูลส่วนตัวของเรา แต่ยังมีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากกำลังมองหาวิธีทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้เสริม เพียงเลือกใช้บริการ HRT Recycling พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล ด้วยกระบวนการรีไซเคิลที่ครบวงจร โดยสามารถมั่นใจได้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นจะถูกกำจัดอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยทีมของเราพร้อมไปรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักงาน หรือสามารถส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่เราโดยตรงได้เลย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง
1. ชี้เป้าจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) กว่า 50 จุดรอบกรุงเทพฯ. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 จาก https://www.posttoday.com/smart-city/711846

5 นวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อโลกยั่งยืน

ขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือ E-waste กำลังเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องการแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน อุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งานไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ล้วนมีสารเคมีอันตรายและโลหะหนักที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยหากไม่มีการจัดการอย่างถูกต้อง การทิ้งขยะเหล่านี้ลงในหลุมฝังกลบซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมสามารถนำไปสู่การปนเปื้อนในดินและน้ำ ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์และระบบนิเวศ ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์และภาคอุตสาหกรรมจึงได้พัฒนา ‘นวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์’ ที่มุ่งเน้นการรีไซเคิลและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแนวทางแก้ปัญหาขยะล้นโลก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มีความยั่งยืน

โครงการนวัตกรรมเกี่ยวกับขยะคือการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

1. การรีไซเคิลโลหะหายากด้วยเทคโนโลยีไฮโดรเมทัลลูร์จี (Hydrometallurgical Recycling)

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ประกอบด้วยโลหะมีค่าและหายากมากมาย โดยเฉพาะธาตุในกลุ่ม Rare Earth Elements (REEs) ที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ แม่เหล็ก และจอแสดงผล ทว่า การทำเหมืองเพื่อสกัดโลหะเหล่านี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ทั้งการทำลายถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปนเปื้อนแหล่งน้ำ

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีการคิดค้น ‘เทคโนโลยีไฮโดรเมทัลลูร์จี’ เพื่อมาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเป็นวิธีการสกัดโลหะที่ปฏิวัติวงการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ แทนที่จะใช้วิธีการหลอมด้วยความร้อนสูงแบบดั้งเดิม (Pyrometallurgy) ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลและปล่อยมลพิษ ไฮโดรเมทัลลูร์จีใช้สารละลายเคมีที่เฉพาะเจาะจงในการสกัดโลหะจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่อุณหภูมิต่ำกว่ามาก ลดการปล่อยมลพิษและช่วยให้สามารถสกัดโลหะหายากกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. AI และหุ่นยนต์ช่วยแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์

การคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนเนื่องจากมีวัสดุต่าง ๆ ผสมกัน แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์กำลังปฏิวัติขั้นตอนนี้ โดยนำมาใช้เพื่อตรวจจับและจำแนกชิ้นส่วนของขยะได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ระบบคัดแยกอัตโนมัติที่พัฒนาโดย AMP Robotics ใช้ AI วิเคราะห์และแยกวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยลดแรงงานมนุษย์และเพิ่มความแม่นยำในการรีไซเคิลอย่างมีนัยสำคัญ

3. การออกแบบเพื่อการรีไซเคิล (Design for Recycling)

อีกหนึ่งแนวทางแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลก คือการออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันหลายบริษัทเริ่มหันมาใช้แนวคิด โมดูลาร์ดีไซน์ (Modular Design) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเฉพาะส่วนที่เสียหายแทนที่จะต้องทิ้งทั้งเครื่อง รวมถึงการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำจากพลาสติกชีวภาพซึ่งสามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ

นอกจากนั้น ในปี 2023 สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมาย ‘Right to Repair’ ที่บังคับให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ซ่อมแซมได้ง่ายและต้องจัดหาชิ้นส่วนทดแทนเป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปีหลังจากผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด นโยบายนี้กำลังผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ หันมาใช้แนวคิดการออกแบบเพื่อการรีไซเคิลมากขึ้น

4. แบตเตอรี่ที่รีไซเคิลได้ 100%

แบตเตอรี่ เป็นองค์ประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ และเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการรีไซเคิล เนื่องจากมีสารเคมีอันตราย โครงสร้างซับซ้อน และมีความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ อย่างไรก็ตาม มีโครงการนวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โครงการดังกล่าวดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย MIT โดยพวกเขาได้พัฒนาแบตเตอรี่แบบใหม่ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ซัลเฟอร์และโซเดียม ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาแร่ธาตุที่มีจำกัดในธรรมชาติ

โครงการนวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้านแบตเตอรี่

5. ระบบซื้อคืนและรีไซเคิลโดยผู้ผลิต (Take-back Programs)

หลายบริษัทเริ่มตระหนักถึงการมีส่วนร่วมเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาขยะล้นโลก จึงได้ออกนโยบายรับซื้อคืนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่า เช่น Apple Trade In และ Dell Recycling Program ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำอุปกรณ์เก่ามาส่งคืนเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือปรับปรุงให้สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ โครงการเหล่านี้ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคอย่างยั่งยืนมากขึ้น

ถึงแม้หลายโครงการนวัตกรรมเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์จะยังเป็นเรื่องไกลตัว และต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อยอดเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ทว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการหรือองค์กรธุรกิจก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้เสริมอีกด้วย เพียงแค่เลือกใช้บริการ HRT Recycling เราพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล ด้วยกระบวนการรีไซเคิลที่ครบวงจร สามารถมั่นใจได้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นจะได้รับการกำจัดอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยทีมของเราพร้อมไปรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักงานของคุณ หรือคุณสามารถส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่เราโดยตรงได้เลย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง
1. Hydrometallurgical recycling technologies for NMC Li-ion battery cathodes: current industrial practice and new R&D trends†. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 จาก https://pubs.rsc.org/en/content/articlehtml/2023/su/d3su00142c.
2. Design for Recycling Guidelines. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 จาก https://recyclass.eu/recyclability/design-for-recycling-guidelines/

Shredder Machine คืออะไร ? เปิดวิธีทำลายข้อมูลถาวร ปลอดภัยเปิดวิธีทำลายข้อมูลถาวร

การกำจัดข้อมูลที่ไม่ต้องการอย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่องค์กรและบุคคลทั่วไปให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากหากการทำลายข้อมูลไม่สมบูรณ์อาจทำให้ข้อมูลสำคัญที่ลบไปถูกกู้คืนกลับมาโดยผู้ไม่หวังดี นำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการละเมิดข้อมูล ดังนั้น การมองหาวิธีทำลายฮาร์ดดิสก์ไม่ให้กู้คืนได้จึงเป็นขั้นตอนที่จะช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ Shredder Machine

Shredder Machine คือเครื่องบดทำลายเอกสาร แผ่นซีดี ฮาร์ดดิสก์

Shredder Machine คืออะไร ?

Shredder Machine หรือเครื่องบดทำลาย คืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อบดทำลายวัสดุหลากหลายประเภท โดยข้อมูลที่ถูกทำลายด้วย Shredder Machine จะถูกบดจนไม่สามารถกู้คืนได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่สำคัญจะไม่รั่วไหล เช่น

  • เอกสารสำคัญ อย่างข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลลูกค้า หรือสัญญาทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
  • สื่อเก็บข้อมูลแบบแผ่น เช่น แผ่นซีดีและดีวีดีที่บันทึกไฟล์งาน หรือฐานข้อมูล ซึ่งควรได้รับการทำลายอย่างถูกต้อง เพราะถึงแม้จะลบข้อมูลในระบบไปแล้ว แต่ก็อาจกู้คืนได้
  • ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิทัล เนื่องจากฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถกู้คืนข้อมูลได้แม้ว่าจะลบไฟล์ไปแล้ว การใช้ Shredder Machine ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ข้อมูลไม่สามารถกู้คืนได้

การใช้งาน Shredder Machine ในอุตสาหกรรม

Shredder Machine เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากสามารถช่วยทำลายข้อมูลที่ไม่ต้องการอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล เพื่อป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม โดยมักนิยมนำมาใช้งานในอุตสาหกรรม ดังนี้

องค์กรด้านการเงิน

องค์กรด้านการเงินและธนาคารมีข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัญชีของลูกค้า ข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและการลงทุน ซึ่งหากรั่วไหลอาจส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร ทำให้ลูกค้าสูญเสียความมั่นใจ การใช้ Shredder Machine ในภาคการเงินและธนาคารจะช่วยให้สามารถทำลายเอกสารและสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความสำคัญได้อย่างปลอดภัย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงข้อมูลโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต

ภาครัฐและหน่วยงานความมั่นคง

หน่วยงานของรัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ มักมีข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งรวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยแห่งชาติ ข้อมูลทางการทหาร และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาครัฐ การรั่วไหลของข้อมูลเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประเทศ ดังนั้น การใช้ Shredder Machine จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ถูกทำลายจะไม่สามารถกู้คืนได้ ป้องกันไม่ให้ข้อมูลตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี

องค์กรขนาดใหญ่

ในภาคธุรกิจ ข้อมูลของลูกค้า คู่ค้า และแผนงานเชิงกลยุทธ์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง หากข้อมูลเหล่านี้รั่วไหล อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ ทำให้สูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขัน หรือเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กร Shredder Machine จึงนิยมนำมาใช้ในองค์กรขนาดใหญ่เพื่อทำลายเอกสารและอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่ไม่ต้องการอีกต่อไป โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความลับทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่กำหนดให้บริษัทต้องมีมาตรการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยและทำลายข้อมูลที่ไม่จำเป็น
การเลือกวิธีทำลายฮาร์ดดิสก์ไม่ให้กู้คืนได้

สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกวิธีทำลายฮาร์ดดิสก์ไม่ให้กู้คืนได้

นอกจากการใช้ Shredder Machine ยังมีวิธีอื่น เช่น การลบข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์เฉพาะ (Data Wiping Software) หรือการใช้สนามแม่เหล็ก (Degaussing) ซึ่งก่อนเลือกกำจัดข้อมูลด้วยวิธีใดนั้น ควรพิจารณาเปรียบเทียบจากปัจจัยดังนี้

ความปลอดภัยของข้อมูล

ระดับความปลอดภัยในการทำลายข้อมูลเป็นปัจจัยหลักที่ควรพิจารณา หากข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์มีความสำคัญ เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลลูกค้า หรือเอกสารลับทางธุรกิจ ควรเลือกใช้วิธีที่จะสามารถรับรองได้ว่าไม่มีโอกาสกู้คืนข้อมูลได้อีก

  • การใช้ Shredder Machine เป็นวิธีทำลายฮาร์ดดิสก์ไม่ให้กู้คืนได้ ซึ่งเหมาะสำหรับข้อมูลที่ต้องการทำลายถาวร เพราะเครื่องจะบดทำลายฮาร์ดดิสก์ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ จนไม่สามารถกู้คืนได้
  • การใช้สนามแม่เหล็ก (Degaussing) เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อทำลายข้อมูล แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจมีข้อมูลหลงเหลือ หากอุปกรณ์ไม่ได้รับการทำลายทางกายภาพ
  • การใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล (Data Wiping Software) เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ แต่ยังมีความเสี่ยงหากข้อมูลถูกเขียนทับไม่สมบูรณ์

ค่าใช้จ่ายและทรัพยากร

การทำลายฮาร์ดดิสก์แต่ละวิธีมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่ายและทรัพยากรที่ต้องใช้ ดังนี้

  • การใช้ Shredder Machine อาจมีต้นทุนสูงกว่าในแง่ของเครื่องจักรและกระบวนการดำเนินงาน แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่ต้องทำลายข้อมูลจำนวนมากเป็นประจำ
  • การใช้สนามแม่เหล็ก (Degaussing) มีต้นทุนสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ หลังจากลบข้อมูลแล้ว ฮาร์ดดิสก์จะไม่สามารถใช้งานต่อและนำไปรีไซเคิลได้
  • การใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล (Data Wiping Software) มีต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากสามารถใช้ซอฟต์แวร์ฟรี หรือเสียค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ต้องใช้เวลานานกว่าการทำลายทางกายภาพ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในยุคที่การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) กลายเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การเลือกวิธีทำลายฮาร์ดดิสก์ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

  • การใช้ Shredder Machine ช่วยให้สามารถแยกชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์และนำเศษวัสดุบางส่วนไปรีไซเคิลได้ เช่น อะลูมิเนียม และทองแดงจากวงจรไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์
  • การใช้สนามแม่เหล็ก (Degaussing) ทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้อีก จึงต้องกำจัดเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม
  • การใช้ซอฟต์แวร์ลบข้อมูล (Data Wiping Software) เป็นวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุด เพราะช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

การทำลายฮาร์ดดิสก์ไม่ให้กู้คืนได้เป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรและบุคคลทั่วไปต้องให้ความใส่ใจ หากต้องการเสริมความมั่นใจในการกำจัดฮาร์ดดิสก์ ที่ HRT Recycling พร้อมให้บริการรับทำลายฮาร์ดดิสก์และบริการทำลายสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างมืออาชีพ ด้วยกระบวนการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกลบทิ้งหมดจด หมดกังวลเรื่องข้อมูลหลุด และข้อมูลจะถูกทำลายอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง
1. What is a shredder?. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 จาก https://www.linkedin.com/pulse/what-shredder-how-choose-use-recycling-enerpart-china

ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลกเกิดจากอะไร และต้องแก้ยังไง ?

สำหรับชีวิตยุคดิจิทัล ปฏิเสธไม่ได้ว่าโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตวอตช์ รวมถึงอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา แต่เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้หมดอายุการใช้งาน ก็จะไม่ได้หายไปจากโลก ทว่ากลับกลายเป็น ‘ขยะอิเล็กทรอนิกส์’ (Electronic Waste หรือ E-Waste) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ตามรายงานจาก Global E-Waste Monitor 2024 ระบุว่าปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2 ล้านตัน และคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจพุ่งสูงถึง 75 ล้านตันต่อปี การจัดการขยะประเภทนี้ยังเป็นปัญหา เนื่องจากเพียง 17.4% ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้รับการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ส่วนที่เหลือถูกทิ้งในหลุมฝังกลบ หรือถูกส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพื่อการรีไซเคิลแบบผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้คนอย่างมหาศาล

ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการฝังกลบ

สาเหตุของปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์

  1. อัตราการเปลี่ยนอุปกรณ์สูง – สาเหตุหลักของปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลกเกิดจากการที่วงจรชีวิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สั้นลง เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาเร็ว ผู้บริโภคเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่บ่อยขึ้น เช่น โทรศัพท์มือถือมีอายุเฉลี่ยเพียง 2-3 ปีก่อนที่ผู้ใช้จะเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่
  2. การออกแบบที่ไม่เอื้อต่อการรีไซเคิล – หลายผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบให้ยากต่อการถอดแยกชิ้นส่วนหรือซ่อมแซม ทำให้การรีไซเคิลทำได้ยากขึ้น
  3. การขาดโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ – หลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ไม่มีระบบจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพียงพอ
  4. การส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังประเทศกำลังพัฒนา – ประเทศที่พัฒนาแล้วมักส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังประเทศที่มีระบบการกำกับดูแลที่หละหลวม เช่น แอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำไปสู่ผลกระทบจากชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งด้านปัญหามลพิษและสุขภาพของแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลผิดกฎหมาย

ผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์

  1. มลพิษต่อสิ่งแวดล้อม – ขยะอิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยสารเคมีอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารหน่วงการติดไฟ (BFRs) ที่สามารถปนเปื้อนดิน น้ำ และอากาศ หากถูกทิ้งอย่างไม่ถูกต้อง
  2. อันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ – การเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ในที่โล่งเพื่อดึงโลหะมีค่าออกมา เช่น ทองและทองแดง ก่อให้เกิดควันพิษที่นำไปสู่ผลกระทบจากชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ เช่นโรคระบบทางเดินหายใจ มะเร็ง และความผิดปกติของระบบประสาท
  3. การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ – อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีโลหะมีค่าหลายชนิด เช่น ทองคำ เงิน และแพลทินัม หากไม่มีการรีไซเคิลที่เหมาะสม ทรัพยากรเหล่านี้จะสูญเปล่า ทำให้ต้องมีการขุดเหมืองเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลกส่งผลต่อการทำเหมือง

แนวทางแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) – การเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเส้นตรง (ผลิต-ใช้-ทิ้ง) ไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบจากชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน แนวคิดนี้มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงวงจรชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบให้ซ่อมแซมและอัปเกรดได้ง่าย ไปจนถึงการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่
  2. ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ (EPR – Extended Producer Responsibility) – บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ของตนเองตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิต ไปจนถึงกระบวนการกำจัดหลังหมดอายุการใช้งาน
  3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ – รัฐบาลควรลงทุนในศูนย์รีไซเคิลที่ทันสมัย และสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ
  4. ส่งเสริมการซ่อมแซมและการนำกลับมาใช้ใหม่ (Right to Repair Movement) – การเคลื่อนไหว “สิทธิในการซ่อม” กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นทั่วโลก แนวคิดนี้สนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ของตนได้อย่างง่ายดายและราคาเหมาะสม แทนที่จะต้องซื้อใหม่เมื่อเกิดปัญหาเพียงเล็กน้อย
  5. สร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน – ประชาชนควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงผลกระทบจากปัญหาอย่างรอบด้าน โดยเมื่อมีความรู้ก็ย่อมสามารถตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้งานอุปกรณ์ให้นานขึ้น รวมถึงกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี
  6. นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ – การพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการคัดแยกวัสดุ การสกัดโลหะมีค่าจากแผงวงจรโดยไม่ใช้สารเคมีที่เป็นพิษ ช่วยส่งเสริมให้การรีไซเคิลมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นความท้าทายระดับโลกที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้บริโภค ภาครัฐ ไปจนถึงองค์กรสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน

ผู้ประกอบการธุรกิจหรือองค์กรไหนอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปกป้องโลกจากปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้เสริมอีกด้วย แนะนำ HRT Recycling เราพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล ด้วยกระบวนการรีไซเคิลที่ครบวงจร สามารถมั่นใจได้ว่าขยะ E-Waste ทุกชิ้นจะได้รับการกำจัดอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยทีมของเราพร้อมไปรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักงานของคุณ หรือคุณสามารถส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์มาที่เราโดยตรงได้เลย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง
1. The Global E-waste Monitor 2024. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 จาก https://ewastemonitor.info/the-global-e-waste-monitor-2024/

วิธีล้างข้อมูลคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ปกป้องข้อมูลก่อนทิ้ง !

การล้างข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อถึงเวลาที่ต้องการทิ้งหรือขายคอมพ์ที่ไม่ใช้แล้วให้ผู้อื่น เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหล ซึ่งการกำจัดข้อมูลอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างรอบด้าน

วิธีล้างข้อมูลโน้ตบุ๊กและคอมพ์ก่อนนำไปขาย

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนล้างข้อมูล

ก่อนเริ่มการล้างเครื่องโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลที่จำเป็น หรือการล้างข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์

สำรองข้อมูลสำคัญ

การสำรองข้อมูล เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก่อนล้างข้อมูล เพื่อป้องกันการสูญเสียไฟล์ หรือเอกสารที่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างง่ายดายหากต้องการใช้งานในอนาคต โดยสามารถสำรองข้อมูลได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
ใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก โดยคัดลอกไฟล์สำคัญ เช่น เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์งานไปยังฮาร์ดไดรฟ์ หรือ USB แฟลชไดรฟ์
ใช้บริการคลาวด์ ซึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ การอัปโหลดไฟล์ไปยังบริการคลาวด์ เช่น Google Drive, Dropbox หรือ OneDrive เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากปลอดภัยและประหยัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในอุปกรณ์

ตรวจสอบและจดบันทึกโปรแกรมที่ใช้งานบ่อย

การจดบันทึกโปรแกรมที่ใช้งานบ่อย เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ช่วยให้กระบวนการติดตั้งเครื่องใหม่หลังจากล้างข้อมูลง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้งานโปรแกรมเฉพาะด้าน เช่น ซอฟต์แวร์ออกแบบ, โปรแกรมบัญชี หรือโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ติดตั้งใหม่ได้ง่ายหลังจากล้างเครื่อง

วิธีการล้างข้อมูลโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์

การล้างข้อมูลสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความปลอดภัยและการใช้งานอุปกรณ์หลังจากการล้างข้อมูล

1. การรีเซตระบบปฏิบัติการ

การรีเซตเครื่องกลับไปยังสถานะเริ่มต้นจากโรงงาน เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการล้างคอมพ์ก่อนขาย หรือส่งมอบคอมพิวเตอร์ให้ผู้อื่น หลังการรีเซต ข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบและระบบจะถูกตั้งค่าใหม่ แต่อาจมีข้อมูลบางส่วนหลงเหลือ จึงไม่เหมาะสำหรับข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ซึ่งขั้นตอนการรีเซตระบบปฏิบัติการ มีดังนี้

สำหรับ Windows ให้ไปที่ Settings > Update & Security > Recovery แล้วเลือก Reset this PC
สำหรับ Mac ให้ใช้ Disk Utility เพื่อลบข้อมูลและติดตั้งระบบใหม่ผ่าน macOS Utilities

การรีเซตเครื่อง เพื่อล้างคอมก่อนขาย

2. การลบข้อมูลบนฮาร์ดไดรฟ์ (Hard Drive Formatting)

การฟอร์แมตฮาร์ดไดรฟ์ เป็นวิธีการลบข้อมูลทั่วไปที่ช่วยคืนค่าอุปกรณ์ให้เหมือนใหม่ วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายและไม่ซับซ้อน โดยมีตัวเลือกการฟอร์แมตที่แนะนำคือ Full Format ซึ่งจะลบข้อมูลทั้งหมดและตรวจสอบความสมบูรณ์ของดิสก์ แต่ข้อมูลอาจกู้คืนได้โดยซอฟต์แวร์กู้ข้อมูล จึงไม่เหมาะสำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญหรือความลับสูง

3. การลบข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์เฉพาะ (Data Wiping Software)

การใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ เช่น DBAN หรือ Blancco เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ให้ความปลอดภัยสูง เนื่องจากซอฟต์แวร์เหล่านี้จะเขียนทับข้อมูลเดิมหลายครั้งจนไม่สามารถกู้คืนได้ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลการเงิน หรือข้อมูลลูกค้า

ข้อควรระวังหลังการล้างข้อมูล

หลังจากลบข้อมูล ควรตรวจสอบว่าไม่มีไฟล์หรือข้อมูลส่วนตัวหลงเหลืออยู่ โดยสามารถใช้ซอฟต์แวร์สำหรับตรวจสอบข้อมูลที่ถูกลบเพื่อเสริมความมั่นใจ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานต่อได้อีก ควรเลือกส่งไปยังศูนย์รับกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือบริจาคให้แก่องค์กรที่ต้องการใช้อุปกรณ์เก่า

การล้างคอมพ์ก่อนขายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันข้อมูลรั่วไหล เพื่อป้องกันปัญหาความปลอดภัยในอนาคต และสำหรับผู้ต้องการกำจัดคอมพิวเตอร์ทิ้ง หากกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และมองหาวิธีกำจัดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หรือสนใจบริการรับซื้อแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ HRT Recycling พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล ด้วยกระบวนการรีไซเคิลที่ครบวงจร โดยสามารถมั่นใจได้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นจะได้รับการกำจัดอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง

ป้องกันข้อมูลองค์กรรั่วไหล โดยเข้าใจความเสี่ยงและแนวทางแก้ไข

ในยุคที่ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงกันผ่านระบบดิจิทัล การปกป้องข้อมูลขององค์กรกลายเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ เพราะหากข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลทางการเงิน หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ ถูกเปิดเผยหรือรั่วไหลออกไป อาจส่งผลกระทบที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียง การสูญเสียลูกค้า หรือการเผชิญบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนั้น บทความนี้ จึงจะพาไปสำรวจสาเหตุหลักของการรั่วไหลของข้อมูลองค์กร รวมถึงแนวทางที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

การรั่วไหลของข้อมูลองค์กรอาจเกิดได้จากความเสี่ยงหลายด้าน

สาเหตุของการรั่วไหลของข้อมูลองค์กร

1. พนักงานที่ไม่มีความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

ปัญหานี้พบได้บ่อยในองค์กรที่ไม่มีการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พนักงานอาจไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงในการจัดการข้อมูลดิจิทัล และอาจทำให้เกิดการรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ เช่น การใช้รหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย การเปิดอีเมลหลอกลวง หรือการแชร์ข้อมูลผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งการขาดความรู้พื้นฐานเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลสำคัญได้อย่างง่ายดาย

2. การโจมตีจากแฮกเกอร์ (Hacking)

ปัจจุบัน แฮกเกอร์ได้พัฒนาวิธีการที่ซับซ้อนและแยบยลมากขึ้นในการเจาะระบบและขโมยข้อมูล โดยเฉพาะในองค์กรที่ไม่ได้อัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการโจมตีอาจมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น มัลแวร์ แรนซัมแวร์ หรือการหลอกลวงทางจิตวิทยา ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว

3. ระบบที่ล้าสมัย

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดต เป็นช่องโหว่สำคัญที่อาจถูกใช้เป็นเส้นทางในการเข้าถึงข้อมูล เพราะระบบที่ล้าสมัยมักไม่มีการอุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้กลายเป็นเป้าหมายง่ายสำหรับแฮกเกอร์

4. การใช้ระบบคลาวด์โดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม

การใช้ระบบคลาวด์โดยขาดการตั้งค่าความปลอดภัยที่เหมาะสม อาจทำให้ข้อมูลองค์กรเสี่ยงต่อการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ เพราะการตั้งค่าที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจเปิดช่องให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลสู่สาธารณะได้โดยไม่รู้ตัว

5. พฤติกรรมที่ไม่ระมัดระวังของบุคคลภายใน

พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงาน เช่น การแชร์รหัสผ่าน การเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในอุปกรณ์ส่วนตัวโดยไม่มีการป้องกัน หรือการทิ้งเอกสารที่มีข้อมูลสำคัญโดยไม่ทำลายอย่างถูกวิธี ล้วนเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลได้

6. การจัดการอุปกรณ์ส่วนตัวและอุปกรณ์ขององค์กรอย่างไม่เหมาะสม

การจัดการอุปกรณ์ส่วนตัวและอุปกรณ์ขององค์กรอย่างไม่เหมาะสม เป็นความเสี่ยงที่สำคัญในยุคการทำงานแบบไฮบริด การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวเพื่อเข้าถึงข้อมูลองค์กรโดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม การเก็บไฟล์งานไว้ในอุปกรณ์ส่วนตัวโดยไม่มีการเข้ารหัส หรือการทิ้งอุปกรณ์เก่าขององค์กรโดยไม่ได้ลบข้อมูลอย่างถูกวิธี ล้วนเป็นช่องทางที่อาจทำให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรรั่วไหลได้อย่างง่ายดาย

วิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ต้องอาศัยความร่วมมือของคนในองค์กร

วิธีป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

1. เพิ่มการอบรมด้านความปลอดภัยให้แก่พนักงาน

การสร้างความตระหนักรู้และวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยของข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญ องค์กรควรจัดการอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ วิธีการป้องกัน และแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

2. ติดตั้งระบบป้องกันและตรวจจับภัยคุกคาม

การลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็น ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ระบบไฟร์วอลล์ ไปจนถึงระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุก โดยต้องมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

3. ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

ควรสร้างระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่เข้มงวดและชัดเจน โดยให้สิทธิ์เฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องใช้งานจริงเท่านั้น พร้อมทั้งมีระบบติดตามและตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ตรวจสอบและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรควรมีแผนการตรวจสอบและอัปเดตระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามรูปแบบใหม่

5. ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะช่วยให้องค์กรได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์และทันสมัย ทั้งการประเมินความเสี่ยง การวางแผนรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน และการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร

6. ตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลภายใน

การติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานระบบของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้องค์กรสามารถตรวจจับความผิดปกติได้แต่เนิ่น ๆ เช่น การพยายามเข้าถึงข้อมูลนอกเหนือจากสิทธิ์ที่ได้รับ หรือการดาวน์โหลดข้อมูลในปริมาณที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการรั่วไหลของข้อมูลองค์กร

7. ใช้บริการทำลายอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้วโดยผู้เชี่ยวชาญ

การทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งาน ต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและเป็นระบบ การเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับการจัดการอุปกรณ์อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการรีไซเคิลที่ถูกต้อง

มองหาวิธีทำลายข้อมูลองค์กรที่ปลอดภัยและรักษ์โลก ? HRT Recycling พร้อมให้บริการ

ถ้าองค์กรของคุณกำลังมองหาวิธีป้องกันข้อมูลที่เป็นความลับและลดความเสี่ยงจากการรั่วไหล HRT Recycling ขอเสนอบริการรับทำลายข้อมูล สื่อบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์และทรัพย์สินอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย เรามีความเชี่ยวชาญในกระบวนการทำลายข้อมูลที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกลบทิ้งหมดจด อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง

วิธีทำลายข้อมูลองค์กรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล

“ข้อมูล” ถือว่าเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดสำหรับองค์กร การปกป้องข้อมูลจากการรั่วไหลจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรทุกแห่งต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะข้อมูลใน Hard Disk ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลใหญ่ โดยการเลือกวิธีทำลายข้อมูลองค์กรที่ไม่ใช้แล้วอย่างถูกต้องและปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดจากการโจรกรรมข้อมูล อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีทำลายข้อมูล Hard Disk

การเลือกวิธีทำลายข้อมูลองค์กรอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล การทำลายข้อมูล Hard Disk อย่างปลอดภัยจึงเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว โดยมีวิธี ดังนี้

1. การลบข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์ (Data Wiping)

การลบข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์ เป็นวิธีที่ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยซอฟต์แวร์ซึ่งออกแบบมาเป็นการเฉพาะ จะทำการลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ด้วยการเขียนทับข้อมูลซ้ำหลายรอบ โดยถือเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่และสามารถนำฮาร์ดดิสก์กลับมาใช้ซ้ำได้โดยไม่เกิดขยะ แต่หากลบไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบูรณ์ อาจเกิดความเสี่ยงที่ข้อมูลบางส่วนจะถูกกู้คืนได้

2. การบดทำลายฮาร์ดดิสก์ (Shredding)

การบดทำลายฮาร์ดดิสก์ เป็นวิธีทำลายข้อมูล Hard Disk ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยมาก เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะถูกนำเข้าเครื่องบดจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างสมบูรณ์ จนไม่เหลือชิ้นส่วนที่สามารถกู้คืนได้ แต่การจะบดทำลายฮาร์ดดิสก์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะที่มีราคาสูงและต้องใช้บริการจากบริษัทรับทำลายฮาร์ดดิสก์ที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งเศษซากที่เหลือจากการบดต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. การใช้สนามแม่เหล็ก (Degaussing)

การใช้สนามแม่เหล็ก หรือ Degaussing เป็นวิธีทำลายข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะที่สร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูง ทำลายข้อมูลในจานแม่เหล็ก (Platter) ที่เป็นส่วนเก็บข้อมูลหลักของฮาร์ดดิสก์ โดยสามารถทำลายข้อมูลจำนวนมากพร้อมกันได้ในเวลาอันสั้น เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่สามารถใช้งานต่อได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ที่หมดอายุการใช้งาน เนื่องจากการใช้สนามแม่เหล็กทำให้จานแม่เหล็กเสียหายโดยสิ้นเชิง อีกทั้งอุปกรณ์สำหรับ Degaussing มีราคาสูงและต้องใช้บริการทำลายสื่อบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ

วิธีที่ไม่ควรใช้ทำลาย Hard Disk

ในขณะที่มีวิธีการทำลายฮาร์ดดิสก์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีบางวิธีที่ไม่ควรใช้เนื่องจากอาจทำให้ข้อมูลหลงเหลือ หรือเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติ ได้แก่

1. การทุบด้วยค้อน

การทุบด้วยค้อน เป็นวิธีที่หลายคนอาจมองว่าสามารถทำลายฮาร์ดดิสก์ได้อย่างรวดเร็วและสะดวก ซึ่งวิธีนี้ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่จานแม่เหล็ก (Platter) ภายในฮาร์ดดิสก์อาจยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถกู้ข้อมูลได้ อีกทั้งยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานการทำลายข้อมูลระดับสากล

2. การเผาด้วยไฟ

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มักเข้าใจผิดว่าสามารถทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้ทั้งหมด เนื่องจากความร้อนสามารถทำลายอุปกรณ์ได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบไป จานแม่เหล็กอาจยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ นอกจากนี้ การเผาฮาร์ดดิสก์ยังทำให้เกิดการปลดปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่วและสารเคลือบผิวแม่เหล็ก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. การทิ้งในถังขยะทั่วไป

เป็นวิธีที่ง่าย แต่กลับสร้างความเสี่ยงทั้งต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งสามารถนำอุปกรณ์ไปกู้ข้อมูลและนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ในบางประเทศ การทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในถังขยะทั่วไปถือเป็นการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์เลยทีเดียว

สร้างความมั่นใจให้องค์กร ด้วยการทำลายข้อมูลที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล

การปกป้องข้อมูลจากการรั่วไหล ถือเป็นภารกิจสำคัญสำหรับทุกองค์กร โดยเฉพาะข้อมูลใน Hard Disk หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลจะถูกทำลายอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ที่ HRT Recycling พร้อมให้บริการรับทำลายฮาร์ดดิสก์และบริการทำลายสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างมืออาชีพ ด้วยกระบวนการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกลบทิ้งหมดจด ไม่รั่วไหล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-675-4962 หรือติดต่อ LINE ID: @hrtrecycling

แหล่งอ้างอิง

  • การทำลายข้อมูลบนอุปกรณ์ IT อย่างไรให้ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 จาก https://www.thaipr.net/it/3151684
en_USEnglish